ประวัติ หลวงปู่แพงตา วัดประดู่วีรธรรม
“พระครูภาวนาภิรัต”หรือ “หลวงปู่แพงตา เขมิโย” อดีต เจ้าอาวาสวัดประดู่วีรธรรม ต.กุตาไก้ อ.ปลาปาก จ.นคร พนม พระเกจิที่มีความสามารถช่วยขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บแก่ญาติโยม ด้วยท่านมีความรู้ด้านยาสุมนไพร
ประวัติหลวงปู่แพงตา เขมิโย วัดประดู่วีรธรรม
อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า แพงตา นุนนท์ เกิดเมื่อวันพุธที่ 5 มิถุนายน 2457 ที่บ้านดอนดู่ ต.กุตาไก้ อ.ปลาปาก จ.นครพนม โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายพองและนางคำตา นุนนท์ ชีวิตในวัยเยาว์ เมื่ออายุ 9 ขวบ ได้บรรพชา เพื่อศึกษาธรรมวินัยอยู่ 3 ปี ครั้นอายุครบ 22 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบวรศรัทธาราม ต.กุตาไก้ โดยมี พระวงษ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
หลังอุปสมบท ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนมนต์น้อย มนต์กลาง มนต์หลวง และเรียนอักษรธรรม อีกทั้งได้ศึกษาแนวทางการปฏิบัติธรรมจากพระอุปัชฌาย์ กระทั่ง พ.ศ.2480 ไปจำพรรษาที่ภูค้อ จ.สกลนคร กับพระอาจารย์ลับ เพื่อปฏิบัติธรรมด้วยการอดข้าว ดื่มแต่น้ำอย่างเดียว หลังออกพรรษา เดินทางไปที่ถ้ำกวนพลอย ถ้ำยาโดน ประเทศลาว ขากลับได้แวะนมัสการพระอาจารย์ศรีทัตถ์ ที่วัดพระธาตุท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน ก่อนที่ท่านจะแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่ภูเขาควาย เป็นเวลาร่วม 3 เดือน พ.ศ.2482-2484 ธุดงค์ไปเมืองกาสีและเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว จำพรรษาสอนมนต์น้อยมนต์กลางให้พระเณรครบ 7 วัน จึงสลับสับเปลี่ยนกับพระอาจารย์ลับไปปฏิบัติและสอนพระเณรที่วัดป่าต่อตลอด ทั้งพรรษา จากนั้นไปถ้ำภูผาเจริญ ก่อนนั่งบำเพ็ญภาวนาตามป่าช้าที่เป็นกลลวงของผีสางนางไม้ ในเขตน้ำมิ่ง น้ำปอน ของลาว แล้วธุดงค์ไปถ้ำจำปาที่ภูเขาควายนั่งสมาธิอีก 3 เดือน จึงกลับมาอยู่ที่วัดประดู่วีรธรรมนาน 7 พรรษา เพื่อปฏิสังขรณ์วัด
พ.ศ.2492-2494 เดินทางไปพระบาทโพนสัน ประเทศลาว เพื่อช่วยสร้างกุฏิวิหาร ก่อนมุ่งไปเวียงจันทน์และธุดงค์ไปยังเชียงตุง ผ่าน 10 เมืองของพม่าถึงย่างกุ้ง แล้วนั่งสมาธิบริเวณพระธาตุ 7 วัน และกลับสู่มาตุภูมิใน พ.ศ. 2495 ได้ 1 ปี จึงเดินทางไปพม่าและลาวอีกครั้ง เพื่อทบทวนความทรงจำหลักวิปัสสนากัมมัฏฐานนานอีก 3 ปี
ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2486 เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดประดู่วีรธรรม พ.ศ.2517 เป็นเจ้าอาวาสวัดประดู่วีรธรรม ผลงานด้านการศึกษา พ.ศ.2499 จัดตั้งสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐาน พ.ศ.2500 ให้มีการสอนโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดประดู่วีรธรรม พ.ศ.2515 ให้มีการสอนพระอภิธรรม วัดประดู่วีรธรรม พ.ศ.2517 เป็นกรรมการอุปถัมภ์การสอนนักธรรม อ.ปลาปาก
งานด้านสาธารณูปการ พ.ศ.2507 เป็นประธานสร้างอุโบสถวัดกุตาไก้เหนือ พ.ศ.2509 เป็นผู้อำนวยการสร้างพระพุทธบาทจำลอง ภูกระแต พ.ศ.2511 เป็นประธานสร้างอุโบสถวัดบ้านชะโนด ต.คำเตย พ.ศ.2512 เป็นผู้อำนวยการสร้างอุโบสถวัดบวรศรัทธาราม ต.กุตาไก้ พ.ศ.2514 เป็นผู้อำนวยการสร้างพระธาตุอินทร์แขวนจำลอง นครเวียงจันทน์ ประเทศลาว และเป็นผู้อำนวยการสร้างศาลาการเปรียญวัดกุตาไก้เหนือ พ.ศ.2515 เป็นประธานสร้างอุโบสถวัดตาลกุด ต.โพนแพง
นอกจากนี้ ยังสร้างเสนาสนะในวัดประดู่วีรธรรม เช่น กุฏิ 6 หลัง ศาลาการเปรียญ 2 หลัง อุโบสถ หอระฆัง กำแพงวัด ซุ้มประตู สิมน้ำ เป็นต้น หลวงปู่แพงตา ได้เดินธุดงค์ไปตามป่าเขานาน 19 ปี ท่ามกลางสัตว์ร้ายและภยันตราย ก่อนจะกลับมาทำนุบำรุงวัดบ้านเกิดดังกล่าว นอกเหนือจากเป็นพระวิปัสสนาจารย์ เป็นประธานในงานบุญต่างๆ ท่านยังมีพรสวรรค์พิเศษเป็นหมอยาช่วยบรรเทาและรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่ญาติโยม อย่างไม่ถือชนชั้นวรรณะกระทั่งถึงวาระสุดท้าย
ด้านวัตถุมงคลท่านเมตตาให้ลูกศิษย์สร้างหลายรุ่น โดยเฉพาะรุ่น พ.ศ.2516 ซึ่งเป็นเหรียญอาร์มรุ่นแรก เนื้อกะไหล่ทอง ที่มีพุทธคุณด้านแคล้วคาดคงกระพัน ปัจจุบันเป็นที่นิยมของนักอนุรักษ์ที่แสวงหาวัตถุมงคลชุดนี้ ช่วงระยะ 8 ปีให้หลัง พระครูภาวนาภิรัตอาพาธด้วยโรคเบาหวาน กระทั่งในวันที่ 9-10 ส.ค.2535 หลวงปู่ได้เกิดปวดท้องรุนแรงกะทันหัน ลูกศิษย์จึงนำไปหาหมอที่คลินิก ก่อนส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลนครพนม แต่กว่าจะรู้ว่าไส้ติ่งอักเสบ อาการของท่านได้อ่อนระโหย โรยแรง
จนกระทั่งเวลา 13.00 น. วันที่ 12 สิงหาคม 2535 ท่านได้มรณภาพลงอย่างสงบ โดยมี พระเทพมงคลเมธี เจ้าคณะจังหวัดนครพนม ขณะนั้น ได้เฝ้าดูอาการตลอด สร้างความโศกเศร้าให้คณะศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง สิริอายุ 78 ปี 57 พรรษา แม้ว่าหลวงปู่แพงตา จะละสังขารลาโลกไปแล้วก็ตาม แต่คุณงามความดีที่ได้ประกอบศาสนกิจมาตลอดชีวิต จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนได้จดจำอย่างมิลืมเลือน
ที่มาหนังสือพิมพ์ข่าวสด อริยะโลกที่ 6