ประวัติเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทราวาส

ประวัติเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทราวาส

หลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ส่งกระแสร์จิตไปปลุกเสกเหรียญ ร.๖ที่ กรมการรักษาดินแดนจนเกิดพลังอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ให้ปรากฏแก่ผู้นำไปบูชาแล้วเป็นจำนวนมาก
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิริทราวาส พระนครได้มีความดำริคิดจะสร้างโบสถ์ วัดวังกระโจม อ.เมือง จ.นครนายกขึ้นแต่ยังมองหาทุนทรัพย์ไม่ได้ เพราะ ต้องใช้เงินในการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก และมาจินตนาการที่จะหาของที่ ระลึกมอบให้แก่ผู้มาร่วมกุศลสมทบทุนในการสร้างพระอุโบสถวัดวังกระโจม ในครั้งนี้ควรจะเป็นเครื่องรางของขลังเจ้าคุณนรรัตนฯ เพราะท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นผู้มีกระแสร์จิตเก่งกล้าและเคร่งครัดปฏิบัติทางวิปัสสนากัมฐาน จนเกิดปรากฏการณ์แปลกๆมหัศจรรย์มาแล้วหลายครั้งหลายหน เมื่อท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณตัดสินใจได้จึงนำความประสงค์ของตน ไปปรึกษาขอความอุปการะแก่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทันที ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ยินดีรับอุปการะทุกประการเพราะเห็นดีด้วย ในการเสริมสร้างพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามต่อไป ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้เริ่มประเดิมปั้นหุ่นพระประธานขึ้นเป็นองค์แรก ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ จึงได้สั่งช่างสร้างเหรียญ ภ.ปร. มงกุฎครอบ และเหรียญรูปเหมือน ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ลงยันต์และ ชื่อ ธมฺมวิตกฺโกด้านหลัง และอื่นๆ อีกมากเพื่อมอบให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมการกุศลสร้างพระอุโบสถวัดวังกระโจม และมอบเครื่องรางของขลังที่สร้างขึ้นครั้งนี้ให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นั่งปรกปลุกเสกแต่ผู้เดียว หลังจากที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ทำพิธีนั่งปรกปลุกเสกเครื่องรางของขลังเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้มีประชาชนจำนวน มาก แห่แหนมาบูชาเครื่องรางของขลังเจ้าคุณนรรัตนฯ กันอย่างมากมาย ในที่สุดเครื่องรางของขลังของเจ้าคุณนรรัตนฯ ที่ปลุกเสกขึ้นในครั้งนี้ก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่สิ่งเดียว โบสถ์วัดวังกระโจม จึงได้สร้างสำเร็จขึ้นชั่วเวลาไม่นานนัก นับเป็นอุโบสถ์ที่สวยงามที่สุด ของจังหวัดนครนายก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันได้เสด็จพระราชดำเนินไปตัดลูกนิมิตร มีประชาชนชาวจังหวัดนครนายก แห่แหนมาเฝ้าใต้เบื้องยุคลบาทกันอย่างคับคั่งเป็นประวัติการณ์ ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณมีความปลาบปลื้มปิติยินดี ในงานชิ้นโบว์แดงที่สร้างพระอุโบสถวัดวังกระโจมได้สำเร็จรวดเร็วเกินความคาดหมาย ทั่งนี้เป็นเพราะบารมีของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทั่งสิ้น
ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ จึงได้ระลึงถึงอุปการคุณของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ ได้สร้างพระอุโบสถวัดวังกระโจมสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว
ก็มามองเห็นว่าควรจะสร้างโรงเรียนให้แก่วัดวังกระโจม ขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนจังหวัดนครนายกได้มีการศึกษาต่อไปให้ถึงชั้น ม.ศ. ๓ จึงดำริคิดสร้างเครื่องรางของขลังเจ้าคุณนรรัตนฯขึ้นอีก จึงนำความเรื่องนี้ไปปรึกษาขอความอุปการะจากเจ้าคุณนรรัตน ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิได้ปฏิเสธ อนุญาตให้ท่านเจ้าคุณอุดมโสภณจึงถือวันอุดมมงคลฤกษ์ที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ห้า ซึ่งถือว่าเป็นวันดีเหมาะสำหรับ ทำพิธีปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ให้เกิดอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณจึงได้นิมนต์ ท่านเจ้าคุณนรรัตนทำพิธีนั่งปรกปลุกเสกเครื่องรางของขลังเป็นชุดที่สอง และชั่วเวลาไม่นานนักเครื่องราง ของขลังชุดที่สองที่ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณสร้างขึ้น ในครั้งนี้ได้มีมหาชนจำนวนมากหลั่งไหลเข้าบูชา กันอย่างคับคั่งจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลืออยู่เลย แต่เนื่องด้วยค่าก่อสร้างโรงเรียนที่วัดวังกระโจมเป็นตัวตึก ๓ ชั้นหลังใหญ่ แต่เนื่องด้วยค่าก่อสร้างโรงเรียนคิดจำนวนเงินเป็นล้านๆ บาท เครื่องรางของขลังที่สร้างให้มหาชนบูชาในครั้งที่สองได้ไม่พอเพียงค่าก่อสร้าง ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณจึงต้องไปขออนุญาต ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ สร้างเครื่องรางของขลังขึ้นอีกครั้ง เพื่อจะได้นำเงินรายได้ทั้งหมดไปสมทบทุนสร้างโรงเรียนให้แล้วเสร็จเป็นอันดับต่อไป ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็อนุญาติให้อีกเช่นเคย คราวนี้เหมือนจะเกิดแรงสังหรณ์ ท่านเจ้าคุณอุดมได้จัดสร้างเครื่องรางของขลังขึ้นอย่างมากมาย เหมือนกับจะรู้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯทำพิธีปลุกเสก ของที่ท่านเจ้าคุณอุดม สารโสภณ จัดสร้างขึ้นมีพระพุทธรูปบูชาหน้าตัก ๕ นิ้ว และ ๙ นิ้ว เหรียญนาคปรก, เหรียญรูปเหมือน ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เหรียญรูปเหมือนใบโพธิ์, เหรียญนาคปรกใบโพธิ์ พระผงสมเด็จ พระผงนาคปรก และรูปหล่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นต้น และถือวันอุดมมงคลฤกษ์นิมนต์ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นั่งปรก ปลุกเสกในวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ คราวนี้ได้มีพระคณาจารย์หลายรูปนำเครื่องรางของขลัง เจ้าพิธีในโบสถ์วัดเทพศิรินทร์จนแน่นโบสถ์ มีประชาชนเข้าชมพิธีอย่างคับคั่ง เมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทำพิธีนั่งปรกปลุกเสกเสร็จสิ้นผ่านไปเดือนเศษ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้มรณภาพ เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ยังความเศร้าสลดเสียใจแก่บรรดาภิกษุสามเณรและมหาชนทั่วประเทศ ปัจจุบันโรงเรียนวัดวังกระโจมยังกำลังก่อสร้างไปเรื่อยๆ ผู้ใดจะร่วมการกุศลร่วมสมทบทุนในการสร้าง โรงเรียนวัดวังกระโจมให้แล้วเสร็จต่อไป ขอให้แจ้งความประสงค์แก่ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณผู้ช่วย เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ โดยตรงหรือจะบูชาเครื่องรางของขลังท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ที่ท่านเจ้าคุณ อุดมสารโสภณเป็นผู้สร้างก็เท่ากับเป็นผู้ร่วมสมทบทุนการก่อสร้างโรงเรียนเช่นเดียวกั น แต่ข้าพเจ้าใคร่ ขอกระซิบไว้ในที่นี้ด้วยว่าผู้ใดจะบูชาขอให้ไปบูชา กับท่านเจ้าคุณอุดมหรือคณะกรรมการที่กุฏิท่านเจ้าคุณ อุดม มิฉะนั้นท่านจะไม่ได้รับของแท้จะถูกของปลอมเข้า เพราะปัจจุบันนี้ได้มีผู้ทำปลอมขึ้นอย่างมากมาย และก็เป็นที่น่าปลาบปลื้มปิติยินดีอย่างสุดซึ้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้พระราชทานนาม โรงเรียนวังกระโจมนี้ว่า “โรงเรียน นวม ราชานุสรณ์”
ในพิธีปลุกเสกเครื่องรางของขลังทุกครั้งมักจะเกิดเหตุการณ์ประหลาดมหัศจรรย์ให้ปรากฏ เสมอ อาทิ เมื่อคราวท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันเสาร์ห้า ที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ เมื่อช่างภาพ ถ่ายภาพรูปในพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำไปล้างและอัดรูปออกมาก็ปรากฏมีอยู่ภาพหนึ่ง เป็นภาพตอนที่ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ กำลังประพรมน้ำพุทธมนต์ แต่เป็นที่น่าประหลาดมหัศจรรย์ ไม้ที่ท่านเจ้าคุณประพรมนั้น กระจายออกเป็นแฉกๆ เหมือนกับประกายแสงแพรวพราว จึงนับเป็นปรากฏการณ์ที่ประหลาดมหัศจรรย์มาก
อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทำพิธีนั่งปรกปลุกเสกเป็นครั้ง สุดท้าย ก็ปรากฏเหตุการณ์ประหลาด มหัศจรรย์ขึ้นอีก กล่าวคือเมื่อช่างภาพถ่ายภาพเรียบรอยแล้วนำ ฟิล์มไปล้าง เมื่ออัดภาพออกมาดูก็ปรากฏมีอยู่ภาพหนึ่ง ตรงหน้าที่บูชาพระประธานแสงเทียนที่จุดอยู่ ได้พลิ้วไปเหมือนถูกลมพัด ทั้งๆ ที่ในโบสถ์ก็ปิดสนิทไม่มีลมพัดแม้แต่นิดเดียว จึงนับว่าเป็นเหตุการณ์ ประหลาดอีกเช่นเคยทั้งนี้ทุกคนต่างก็ลงความเห็นว่า เกิดจากพลังอนุภาพกระแสร์จิตของท่านเจ้าคุณ นรรัตนฯ นั่นเอง ฉะนั้น เครื่องรางของขลังที่ผ่านการปลุกเสกจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงเกิดอานุภาพ ศักดิ์สิทธิ์ทางด้านแคล้วคลาด มหาอุด และเมตตามหานิยมทางโชคลาภต่างๆ นานา ดังข้าพเจ้า จะนำมากล่าวในที่นี้ จากการบันทึกของ พล.ต.ต. ชนะ วงค์ชอุ่ม จเรกรมตำรวจดังต่อไปนี้
ส.ต.อ. สำเนาว์ วิเศษสังข์ ประจำใน ผ.๒ จต. พักอยู่บ้านเลขที่ ๑๘๗ ซอยอยู่เย็นเป็นสุข อ.บางเขน จ.พระนคร ได้รับเหรียญนาคปรกของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯไป ๕ เหรียญ เมื่อกลับไปถึงที่พักจึงได้ชวน ส.ต.อ. จำรัส ชุมวิสูตร ตำรวจกองดับเพลิงพญาไท และ ส.ต.ท. สุชาติ จัทนร์ศิริ ตำรวจกองบังคับการ ตำรวจป่าไม้บางเขน ได้นำอาวุธปืนลูกกรดขนาด .๒๒ และปืนขนาด .๓๘เพื่อทำการทดลองอภินิหาร เหรียญนาคปรก โดยได้อาราธนาตั้งนะโม ๓ จบ แล้วนำเหรียญไปว่างติดกับต้นไม้ที่เขตรั้วทหารหน้ากรม ป่าไม้บางเขน แล้วใช้อาวุธปืนลูกกรดขนาด .๒๒ ยิงไป ๓ นัด ปรากฏว่าปืนไม่ลั่นเลย จึงลองใช้ปืนขนาด .๓๘ ยิงอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าปืนไม่ลั่นอีกเช่นเคย จึงนับว่าเหรียญท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ ให้ปรากฏแก่สายตา
ต่อไปนี้เป็นรายงานข่าว จากบุคคลและตำรวจจากจังหวัดต่างๆ ที่ประสบอภินิหารเครื่องรางของขลัง เจ้าคุณนรรัตนฯ ที่ท่านเจ้าคุณอุดมสร้างขึ้น เป็นครั้งสุดท้ายคือสุนัขกัดไม่เข้า ๑๓ ราย, รถจักรยานยนต์คว่ำ แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ๑ ราย รุเกงชนกับรถ ๑๐ ล้อพังยับ แต่ไม่มีใครรับบาดเจ็บเลย ๓ ราย รถยนต์ล้อหลุด ในขณะที่วิ่งไปด้วยความเร็วสูง แต่รถไม่คว่ำ ๑ ราย, ทหารทางด้านอรัญประเทศเหยียบกับระเบิด แต่ ไม่ระเบิด ๑ ราย จึรีบลงมาบูชาเหรียญเจ้าคุณนรรัตนฯ ไป ๒๐๐ เหรียญ เพื่อแจกจ่ายแก่ทหาร ทดลองยิง ในเขตจังหวัดชลบุรีแต่ยิงไม่ออก ๒ ราย, เขตฉะเชิงทรา ๔ ราย, เขตนครศรีธรรมราช ๕ รายใช้ปืนเล็กยาว ยิงออกแต่ไม่ถูกเป้าหมาย ๒ ราย ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ยิงไม่ออก ๑ ราย
ต่อไปนี้เป็นประสพการณ์จากตำรวจตระเวนชายแดนที่ถูกพวกก่อการร้ายดักยิง แต่ไม่ได้รับอันตราย เพราะเหรียญนาคปรกเจ้าคุณนรรัตนฯ คุ้มครองช่วยชีวิตไว้ เหตุการณ์รายนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ขณะที่ ร.ต.ท. เผื่อน ศิริสานต์ กับ จ.ส.ต. เฉลียว สัจจากุล และ ส.ต.อ. เสนาะ เล็กมณี แห่ง สภ. ชาติ ตระการ อ. นครไทย จ.พิษณุโลก ได้ออกตระเวนรักษาความปลอดภัยให้แก่ราษฎรมาถึง เขตตำบลบ้านป่าแดง กิ่ง อ.ชาติตระการ อ. นครไทย จ. พิษณุโลก เมื่อเวลา ๑๓.๐๐ น. เศษ ก็ได้ถูก ผู้ก่อการร้ายดักซุ่มยิงด้วยปืนยิงเร็ว จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นอยู่พักหนึ่ง ผู้ก่อการร้ายจึงได้ล่าถอยไปผลปรากฏ ว่า ร.ต.ท. เผื่อน ศิริสานต์ ถูกกกระสุนปืนผู้ก่อการร้ายตายคาที่ ส่วน จ.ส.ต. เฉลียว สัจจกุล ถูกกระสุนปืนเร็ว ของผู้ก่อการร้ายถึง ๘ แห่งด้วยกัน คือ ที่หัวคิ้วด้านขวา . ที่คอด้านขวา , ที่คางใต้ริมฝีปาก และที่หน้าอก ด้านขวา ๕ แห่ง และ ส.ต.อ. เสนาะ เล็กมณี ถูกกระสุนปืนยิงเร็ว ของผู้ก่อการร้ายเช่นกัน คือข้างหลัง ด้านซ้าย ๒ แห่ง และข้างหลังด้านขวา ๑ แห่ง แต่ทั้งสองคนมิได้รับอันตรายแต่อย่างใด เพียงแต่เป็น รอยไม้เท่านั้นเอง เพราะทั้งสองคนมีเหรียญนาคปรกเจ้าคุณนรรัตนฯ ซึ่ง พล.ต.ต. ชนะ วงศ์อุ่ม จเรตำรวจ มอบให้พกติดตัวไว้นั่นเองส่วน ร.ต.ท. เผื่อน ที่ถึงแก่ความตายปรากฏว่าไม่มีเหรียญนาคปรก เจ้าคุณนรรัตนฯ พกติดตัวเลย
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๒ มีค. ศกนี้ ร.ต.อ. สุนันท์ ฐติกสิกร ผบ. กอง สภ. อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ได้นำ ตำรวจ ๘ นาย. ปลัดอำเภอ ๑ นาย และสิบเอกทหาร ๑ นาย ขึ้นรถออกตระเวนรักษาความปลอดภัยแก่ ราษฎรในท้องที ได้ถูกผู้ก่อการร้ายดักซุ่มยิงด้วยปืนกลทั้ง ๒ ฟากทาง ปรากฏว่าตำรวจเสียชีวิตไป ๒ นาย นอกนั้นบาดเจ็บสาหัส แต่เป็นที่น่าประหลาดมหัศจรรย์ ร.ต.อ. สุนันท์ ฐติกสิกร ผู้เดียวเท่านั้นที่รอดจาก ห่ากระสุนปืนกล ของผู้ก่อการร้าย ทั้งๆ ที่พนักพิงที่ ร.ต.อ. สุนันท์ นั่งอยู่ก็มีรอยกระสุนปืนกลพรุนไปหมด ร.ต.อ. สุนันท์ ฐติกสิกรได้รอดตายคราวนี้มาได้อยากปาฏิหาริย์ก็เพราะมีเหรียญนาคปรกเจ้าคุณนรรัตนฯ พกติดตัวไว้นั่นเอง
ภิกษุอรหันต์รู้วันมรณภาพ

คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก ภิกษุผู้เคร่งครัดต่อธรรมวินัย ยากยิ่งจะหา ภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันนี้ปฏิบัติได้เสมอเหมือนท่านเจ้าคุณนรรัตนฯหาได้ไม่ ผู้ที่ได้พบประสนทนา และได้ยิน กิตติศัพท์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ต่างก็โมทนาสาธุยกย่องให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นภิกษุอรหันต์ในยุคนี้ เพราะพฤติการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏแก่สายตาทั้งทางด้านธรรมวินัย และทางด้านอภินิหารนับเป็นปรากฏการณ์ ประหลาดมหัศจรรย์ยิ่ง แม้แต่เกจิอาจารย์ผู้คงแก่เรียนในยุคนี้ก็ไม่สามารถกระทำได้เยี่ยงอย่าง ท่านเจ้าคุณ นรรัตนฯ หาได้ไม่ และท่านเจ้าคุณนรรตันฯ ท่านก็เป็นภิกษุสงฆ์ที่ตัดแล้วด้วยกิเลสนานาประการ ยศถา บรรดาศักดิ์ทางสงฆ์ ท่านก็มิได้ปรารถนาผิดกับภิกษุสงฆ์บางรูป พอเริ่มห่มผ้าเหลืองเพียงไม่กี่พรรษา เป็น ที่นับหน้าถือตาของบรรดาญาติโยม ก็เพียรพยายามหายศประดับบารมีเสียแล้ว แม้แต่จะต้องเสียเงินเสียทอง เพื่อได้ตำแหน่งยศมาประดับบารมีก็ยังต้องยอม และยิ่งมีญาติโยมก้มกราบเรียกขานว่า “ท่านอาจารย์” หรือ “หลวงพ่อ” ด้วยแล้วมีความปลาบปลื้มปิติยินดีอย่างล้นพ้น ผิดกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไม่ว่าใครที่เข้าไป พบประสนทนา จะเรียกขานท่านว่า “ท่านอาจารย์” หรือ “หลวงพ่อ” แล้วท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะเอ่ยปาก บอกญาติโยมทันทีว่า
“ที่นี้ไม่มีอาจารย์และไม่มีหลวงพ่อหรอกโยม ที่มีอาจารย์และหลวงพ่อนั้นมีที่วัดอื่น ไม่ใช่ที่วัดเทพศิรินทร์”
นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ตลอด ๔๕ พรรษาที่ครองเพศบรรพชิตของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มิได้ มีอะไรด่างพร้อยให้ปรากฏในวงการพุทธศาสนาเลยแม้แต่น้อย กลับเป็นตัวอย่างอันดีงามของภิกษุสงฆ์ ที่ครองเพศบรรพชิตควรยืดถือ เป็นเยี่ยงอย่างอีกด้วยและท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก รูปนี้ก็ยังรู้วัน มรณภาพของท่าน ดังปรากฏการณ์ที่ข้าพเจ้าจะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้

เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านเจ้าคุณนรรัตนได้ถูกโรคร้ายเข้าแทรกซึมในร่างกาย อีกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือฝีปรากฏขึ้นที่คอด้านซ้าย เป็นเม็ดแดงระเรื่อ แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ กลับรู้สึกเฉยๆ เหมือนไม่มี อะไรเกิดขึ้นกับตัวท่านเลย ถ้าเป็นอย่างมนุษย์ปุถุชนเช่นเรา-ท่านละก็ต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด อย่ารวดร้าวแสนสาหัสทีเดียว และจะต้องวิ่งเข้าโรงพยาบาลอย่างไม่มีปัญหา แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไม่อนาทรร้อนใจด้วยโรคร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเลย ท่านใช้กระแสร์จิตอันแก่กล้าและญาณขั้นสูงสุด พินิจพิจารณา ท่านก็สามารถทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นนายแพทย์ชั้นปริญญาหลายท่านได้แสดงความปริวิตก และต่างก็ขันอาสา พยาบาลกันมากมาย แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้ปฏิเสธไปทุกรายมิยอมฉันหยูกยาใดๆ ทั้งสิ้นที่มีผู้นำ มาให้ ได้แต่บอกแก่ผู้หวังดีทุกคนไปว่า
“ฝีที่เกิดขึ้นเรียกว่าฝีสบาย เขามาอาศัยร่างอาตมาอยู่เท่านั้น เมื่อถึงกำหนดฝีนี้ก็จะแตกเอง และหายไปพร้อมกับอาตมา ขอให้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง”
ด้วยคำพูดที่เป็นปริศนาและให้คิดเป็นการบ้านของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ประโยคนี้เอง ทำให้พระภิกษุ สงฆ์สามเณรในวัดเทพศิริทร์และประชาชนที่เลื่อมในศรัทธาท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ต่างปริวิตกไปตามๆกัน และก็เฝ้ารอวินาทีที่ฝีแตกจะเกิดขึ้น
ผลที่สุดวินาทีวิกฤตที่ทุกคนเฝ้ารอคอยก็ปรากฏขึ้นในปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ฝีที่คอท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ แตกแล้ว แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิได้แสดงความเจ็บปวดรวดร้าวอะไรออกมาให้ญาติโยมพบเห็น เลยแม้แต่น้อย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังปฏิบัติลงโบสถ์ทำวัตรเช้า-เย็น และสนทนาปราศรัยกับญาติโยม ธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ศาสตราจารย์นายแพทย์ที่เลื่อมใสศรัทธาเจ้าคุณนรรัตนฯ หลายท่าน ต่างก็ยื่นความจำนงขอเป็นผู้รักษา หาหยูกยามาถวาย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ตอบปฏิเสธอีกเช่นเคย และไม่ยอมฉันหยูกยาเลยแม้แต่อย่างเดียว ไม่แต่บอกว่า
“สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาเองได้ มันก็ต้องหายไปเองได้เช่นกัน”
ความเรื่องนี้ได้ล่วงไปถึงพระกรรณของสมเด็จพะนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมีความประสงค์ จะให้ศาสตราจารย์นายแพทย์มาทำการรักษาให้ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯก็ได้ตอบปฏิเสธอีกเช่นเคย
ครั้งที่สองสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมส่วนพระองค์ พร้อมด้วยเจ้าฟ้าหญิงและราชองครักษ์ เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ คราวนี้ท่านเจ้าคุณนรรัตน ได้กราบบังคมทูลเป็นลางว่า
“อาตมาเห็นจะต้องขอลาแล้ว”
นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนสามารถล่วงรู้วันมรณภาพของท่านด้วยญาณชั้นสูงจริงๆ
ผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดท่านเจ้าคุณนรรัตนเห็นจะไม่มีใครเกิน ปลัด อำเภอ โท โกศล ปัทมะสมุนทร บุตรชายนางเลื่อน ปัทมะสมุนทร ซึ่งเป็นน้องสาวของท่านเจ้าคุณนรรัตนนั่นเองเมื่อปลัดโกศลได้ทราบ ข่าวว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฝีที่คอแตกแล้ว ก็ได้เดินทางมาปรนนิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิดในพระอุโบสถ วัดเทพศิรินทร์ทุกวันมิได้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว นับวันฝีคอของท่านเจ้าคุณนรรัตน ก็ได้แตกลุกลาม เป็นที่น่าสังเวชแก่ผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก ท่านเจ้าคุณนรรัตนจึงได้เอ่ยปากถามหลานชายโกศลว่า
“ทำการชำระแผลให้อาตมาได้ไหม”
ปลัดโกศลหลายชายจึงตอบรับคำว่าทำได้ทันที แล้วจึงรีบเดินทางไปขอคำแนะนำจาก พ.ต.ไพบูลย์ บุษปธำรง นายแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พร้อมกับปรับน้ำยาชำระแผลมาทำการชำระแผล ให้แก่ เจ้าคุณลุงท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทุกวันจนกระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ ๒ ม.ค. พ.ศ. ๒๕๑๔ หลังจากที่คุณโกศล ได้ทำการชำระแผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้เอ่ยปากกับคุณโกศลว่า

“หลานอยากได้ของดีจากอาตมาก็ให้ไปเก็บก้อนกรวดที่อำเภอบางบ่อมาอาตมาจะเสกให้” ปลัดโกศลเมื่อได้ยินท่านเจ้าคุณลุงเอ่ยเช่นนั้นก็นึกแปลกใจ เพราะแต่ก่อนก็เคยได้ยินกิติศัพท์ว่าของดี ที่ท่านคุณลุงปลุกเสกมีอภินิหาร ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่มหาชนเป็นจำนวนมาก ตัวเขาเองก็เคยมา ขอจากเจ้าคุณลุง เจ้าคุณลุงก็บอกว่าตัวท่านก็ไม่มีเลยถ้าอยากได้ก็ขอให้ไปขอจากท่านเจ้าคุณอุดมเป็นผู ้สร้าง และเจ้าคุณลุงก็ยังกำชับอีกว่าไปเอาของเขาฟรีๆ นะบริจาคเงินด้วยเพื่อจะได้ไปสร้างกุศล แต่มาวันนี้เจ้าคุณลุง กลับบอกให้ไปเก็บก้อนกรวดมา เจ้าคุณลุงจะเสกของดีให้ ปลัดโกศลจึงนึกแปลกใจและดีใจระคนกัน จึงได้ ตอบไปว่า ที่บางบ่อไม่มีกรวดทรายครับจะไปเอาที่เมืองชลหรือสมุทรสงครามได้ไหม? เจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ตอบว่า จะไปเอาที่อื่นไม่ได้เพราะชื่อไม่ดีต้องที่บางบ่อ เพราะเป็นบ่อเงินบ่อทองและจังหวัดสมุทรปราการ ก็เป็นชื่อไพเราะและเป็นศิริมงคล ให้ไปเที่ยวหาดูต้องมีแน่นอน
รุ่งขึ้นวันอาทิตย์คุณโศลจึงขับรถเที่ยวตะเวนหาก้อนกรวดจนทั่ว บางบ่อก็หาไม่พบเลยจนกระทั่งขับรถ มาบริเวณทางเข้าบางบ่อ ใกล้สะพานคลองเจ้าจึงก้อนทรายกองอยู่ จึงเข้าไปค้นหาดูได้ก้อนกรวดมาถุงหนึ่ง รุ่งขึ้นวันจันทร์จึงนับไป ๙ ก้อน จึงนำไปให้เจ้าคุณนรรัตนฯ ปลุกเสกท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้ปลุกเสกอยู่ ประมาณ ๑๕ นาทีก็มอบให้คุณโกศลและมอบให้ไปแจกลูกๆ หลานๆ เพื่อห้อยคอไว้แล้วก็บอกให้นำก้อนกรวด มาให้อีกจะเสกให้
รุ่งขึ้นคุณโกศลก็นำก้อนกรวดใส่ถุงมาถุงหนึ่งให้เจ้าคุณนรรัตนฯ เสกอีก หลังจากทำวัตรเย็นและชำระแผล เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯทำการปลุกเสก ก้อนกรวดเสร็จแล้ว จึงได้บอกหลานชายโกศลว่า
“ของนี้เป็นของดี มีคุณค่ามากเรียกว่าพ่อแม่ธรณีปัฐวีธาตุ ซึ่งมีจิตเมตตาใครจะเหยียบย่ำทำสิ่งไรก็ไม่ว่า ประดุจกับพ่อแม่ของเราที่รักลูกและเมตตากรุณาลูกทุกคน ฉะนั้นก้อนกรวดนี้จึงมีอนุภาพศักดิ์สิทธิ์มากสามารถ กันนิวเคลียร์ได้อีกด้วย และจะมอบให้กับใครก็จงให้แก่ผู้ที่เขาเลื่อมใสศรัทธาให้เอาก้อนกรวดนี้วางไว้ตรงรูป ใบโพธิ์ เขียนตัว “น” และเขียน อุ ไว้บนตัว น. แล้วเขียนชื่อเจ้าของก้อนกรวดไว้ข้างใต้ให้เลี่ยมห้อยคอไว้ จะเกิดศิริมงคล”
” พอเจ้าคุณลุงมอบก้อนกรวดเสกให้ผมลูกศิษย์ลูกหาของท่านเจ้าคุณที่นั่งอยู่ในโบสถ์ก็รุ มเข้ามาขอกันใหญ่ ผมก็แจกให้ทุกคน และเจ้าคุณลุงก็บอกให้ผมไปเอามาอีกจะเสกให้ ผมก็ขับรถไปที่บางบ่อ เอามาให้เจ้าคุณลุง เสกอีก แต่ผมไม่กล้าให้มากเพราะกลัวเจ้าคุณลุงหนัก เพราะท่านต้องยกอุ้มไว้ในมือต่อมาเมื่อวัน พฤหัสบดีที่ ๗ ม.ค. หลังจากที่เจ้าคุณลุงเสกก้อนกรวดเสร็จแล้วเจ้าคุณลุงก็บ่นว่าวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบา ยเหนื่อยเหลือเกิน เจ้าคุณลุงจึงรีบกลับกุฎิทันที พอรุ่งขึ้นเช้าที่ ๘ ม.ค. ๑๔ ลูกชายและลูกสาวผมไปส่งอาหารเป็นประจำ เจ้าคุณลุงไม่รับปิ่นโตบอกว่าวันนี้ไม่ฉัน และให้ไปบอกพระข้างกุฎิด้วยว่าวันนี้ไม่ลงโบสถ์ ลูกชายลูกสาว กลับไปบ้านโทรบอกผม ผมก็ใจหายวูบทันที เพราะท่านเจ้าคุณลุงเคยบอกว่าวันไหนที่ท่านไม่ลงโบสถ์ ก็ หมายถึงท่านได้สิ้นชีวิตเสียแล้ว พอตกเย็น ผมก็รีบไปที่โบสถ์เพื่อชำระแผลให้เจ้าคุณลุงเป็นกิจวัตร แต่ก็ไม่ พบท่านเจ้าคุณลุง ผมจึงสังหรณ์ใจว่าท่านเจ้าคุณลุงมรภาพอย่างแน่นอน ” นี้ก็เป็นปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก ได้ล่วงรู้วันมรณภาพ ของท่านเองได้ และก็เป็นจริงดังที่ปลัดโกศลคิดไว้ ภิกษุสามเณรในวัดเทพศิรินทร์ได้ทำวัตรเย็นและทราบว่าท่านเจ้าคุณ นรรัตนฯไม่ลงทำวัตรเย็น ต่างก็ปริวิตกไปต่างๆนาๆ ว่าเจ้าคุณนรรัตนฯคงถึงมรณภาพอย่างแน่นอน เพราะ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เคยพูดเสมอว่า “ถ้าอาตมาขาดทำวัตรเมื่อใด นั้นก็หมายความว่าอาตมาสิ้นลมหายใจแล้ว”
ครั้นมาถึงเวลา ๑๙.00 น. เศษ ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ จึงได้ปรึกษากับท่านมหาเสริม พ.ต. ไพบูลย์ บุษปธำรง และปลัดโกศลว่า สมควรจะขึ้นไปเยี่ยมท่านเจาคุณนรรตัน ทุกคนต่างก็ลงความเห็นกัน จึงได้พากัน ไปฏิท่านเจ้าคุณนรรัตนทันที เมื่อท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณได้พากันเดินไปถึงกฎิท่านเจ้าคุณ นรรัตนก็ได้ผลักประตูชั้นล่างเข้าไป ปรากฏว่าประตูมิได้ลงกลอน ครั้นขึ้นไปชั้นบนก็เห็นประตูปิดอยู่เมื่อเอามือผลักดูปรากฏว่าเปิดได้ง่าย มิได้ลงกลอนเช่นเดียวกัน และได้พบท่าน เจ้าคุณนรรัตนนอนอยู่ในมุ้ง อย่างสงบเงียบอยู่ในท่านอนหลับปกติ ครั้นท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ เอามือไปจับท่านเจ้าคุณนรรัตนก็ยังมีไออุ่นอยู่ พ.ต.ไพบูลย์ บุษปธำรง ได้เข้าไปตรวจดูจึงได้ทราบว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนสิ้นลมหายใจเสียแล้ว เมื่อเวลาประมาณ๑๑.๐๐น. เศษ ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ จึงได้จัดการ รดน้ำศพในวันรุ่งขึ้น ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ได้มีแขกผู้มีเกียรติ และบรรดาญาติมิตรและผู้ที่เลื่อมใสศรัทธามารดน้ำศพ กันอย่างคับคั่ง ต่างหลั่งน้ำตาด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อท่านเจ้าคุณนรรัตน นับเป็น ภาพเหตุการณ์ที่เศร้าสลดอย่างสุดซึ้งที่จะหาดูอีกไม่ได้แล้ว หลังจากได้จัดการรดน้ำศพท่านเจ้าคุณนรรัตนเสร็จเรียบร้อยก็ได้นำศพ ท่านเจ้าคุณนรรัตน บรรจุในหีบศพของท่านเจ้าคุณนรรัตน และทางพิธีหลวง ก็ได้จัดนำโกฎชั้นพระยามาตั้งประดับไว้ที่ศาลาละมูล มีนะนันท์ กุฎิของท่าน เจ้าคุณอุดมสารโสภณนั่นอง และได้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายตำรวจ นายทหาร ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน มาแจ้งความจำนงขอเป็นเจ้าภาพ สวดพระอภิธรรมศพท่านเจ้าคุณนรรัตนทุกวันจนครบ ๑๐๐ วัน แม้แต่สมเด็จ พระนางเจ้า ฯ บรมราชินีนาถ ก็ยังเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นเจ้าภาพสวด พระอภิธรรมศพท่านเจ้าคุณนรรัตนด้วยเหมือนกัน ดังได้กล่าวแล้วว่า เครื่องรางของขลังที่ได้ผ่านการปลุกเสกจากท่าน เจ้าคุณนรรัตนแล้วจะเกิดพลังอานุภาพ ศักดิ์สิทธิ์ให้ปรากฏอยู่เสมอ ดังนั้น ปัฐวีธาตุที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนปลุกเสกให้แก่หลานปลัดโกศลก็เช่นกัน ก็ได้ ก่ออภินิหารให้ปรากฏ กล่าวคือ หลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนปลุกเสกปัฐวีธาตุ ให้แก่ปลัดโกศลแล้ว ปลัดโกศล ได้นำแจกจ่ายแก่ผู้เลื่อมใสศรัทธาใน จำนวนนี้มีภรรยาของ พล.อ.ต. ชู สุทธ์โชติ เจ้ากรมอากาศโยธินผู้หนึ่งที่ได้ รับปัฐวีธาตุไปบูชาใส่ไว้ในพานรวมอยู่กับแก้วโป่งข่าม ที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา เพียงวันเดียวเท่านั้นก็ปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อภรรยา พต.อ.ต. ชู ได้เข้าไปบูชาพระเป็นกิจวัตรทุกเย็นก็ได้พบปัฐวีธาตุตกลงมากองอยู่กับพื้น ข้างล่าง ภรรยา พล.อ.ต. ชู ก็มิได้เกิดความสงสัยประการใด คงเข้าใจว่า เด็กรับใช้ทำความสะอาดอาจทำตกลงมาก็ได้ จึงได้หยิบปัฐวีธาตุขึ้นใส่พาน ไว้อย่างเดิม รุ่งขึ้นตอนเย็นก็เข้าห้องบูชาพระอย่างเคยก็พบปัฐวีธาตุตกลงมา กองอยู่กับพื้นข้างล่างอีก จึงเกิดเอะใจขึ้นแต่ก็มิได้แพร่งพรายให้ใครทราบ แล้วเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นอีกเสมอ จนภรรยา พต.อ.ต. ชู เกิดความสงสัยจึงนำความเรื่องนี้ไปบอกกับสามี และปรึกษากันว่า ปัฐวีธาตุนี้ เป็นของสูงมิคู่ควรจะอยู่รวมกับแก้วโป่งข่าม จึงได้ตัดสินใจนำเอาแก้วโป่งข่าม ออกจากพาน นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาปัฐวีธาตุมิได้ตกลงมากองกับพื้นขั้นล่าง อีกเลย และปัฐวีธาตุที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนปลุกเสกให้แก่หลานปลัดโกศลก่อนจะถึงวันมรณกรรมเพีย งวันเดียว ปลัดโกศลได้มอบให้นางจำเนียนภรรยาทูลเกล้าถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อคราวเสร็จ พระราชดำเนินมาเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพเจ้าคุณนรรัตน

เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้มีกระแสร์รับสั่งว่า “ขอบใจจ๊ะ” เพราะทรงทราบว่าเป็นของที่ท่านเจ้าคุณ นรรัตนปลุกเสกเอง